
ธุรกิจอีคอมเมิร์ซเติบโตได้ด้วยข้อมูล หากไม่มีการติดตาม Conversion ผู้ค้าปลีกออนไลน์จะขาดข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญเกี่ยวกับพฤติกรรมของลูกค้า ประสิทธิภาพการขาย และประสิทธิผลของการตลาด เครื่องมือวิเคราะห์ เช่น Google Analytics ช่วยให้ผู้ค้าปลีกติดตามตัวชี้วัดสำคัญเหล่านี้ เผยให้เห็นรูปแบบที่มีผลกระทบต่อรายได้ ด้วยการวิเคราะห์แนวโน้มการขาย ระดับการมีส่วนร่วม และการโต้ตอบของผู้ใช้ ธุรกิจต่างๆ จะยังคงสามารถแข่งขันได้ในตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลมากขึ้น
การทำความเข้าใจเกี่ยวกับการติดตาม Conversion สำหรับอีคอมเมิร์ซ
Conversion หมายถึงการกระทำที่มีค่าใดๆ ที่ลูกค้าดำเนินการบนเว็บไซต์ การกระทำเหล่านี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเติบโตของธุรกิจและสามารถแบ่งออกเป็นสองประเภทหลักๆ ได้แก่:
- Macro Conversions: การกระทำที่มีมูลค่าสูง เช่น:
- การซื้อที่เสร็จสมบูรณ์
- การสมัครสมาชิก
- Micro Conversions: ตัวบ่งชี้ถึงยอดขายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เช่น:
- การดูหน้าผลิตภัณฑ์
- การเพิ่มสินค้าลงในตะกร้า
- การสมัครรับอีเมล
ตัวชี้วัดสำคัญที่ต้องติดตามในการวิเคราะห์ Conversion
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพอัตรา Conversion และลดอัตราการยกเลิก ธุรกิจต่างๆ ต้องติดตามตัวชี้วัดประสิทธิภาพที่จำเป็น
- อัตรา Conversion (CR): เปอร์เซ็นต์ของผู้เข้าชมเว็บไซต์ที่ทำตามเป้าหมาย เช่น การซื้อ
- อัตราการละทิ้งตะกร้า: ติดตามเปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้ที่ออกจากเว็บไซต์ก่อนทำการชำระเงิน
- มูลค่าตลอดอายุของลูกค้า (CLV): วัดรายได้รวมที่ธุรกิจคาดว่าจะได้รับจากลูกค้าหนึ่งรายตลอดช่วงเวลา
- มูลค่าการสั่งซื้อเฉลี่ย (AOV): ระบุมูลค่าเฉลี่ยที่ลูกค้าใช้จ่ายต่อธุรกรรม
การติดตามตัวชี้วัดเหล่านี้ช่วยให้ธุรกิจต่างๆ สามารถตัดสินใจโดยใช้ข้อมูล ปรับแต่งกลยุทธ์ทางการตลาด และปรับปรุงประสบการณ์การช็อปปิ้งเพื่อความสำเร็จในการ Conversion ที่สูงขึ้น
วิธีติดตาม Conversion อย่างมีประสิทธิภาพ

การติดตาม Conversion อย่างแม่นยำเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการทำความเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้า การเพิ่มประสิทธิภาพความพยายามทางการตลาด และการเพิ่มรายได้ หากไม่มีการติดตามที่แม่นยำ ธุรกิจต่างๆ จะมีความเสี่ยงในการตัดสินใจโดยอิงจากสมมติฐานแทนที่จะเป็นข้อมูล
การตั้งค่าการติดตาม Conversion ใน Google Analytics 4 (GA4)
Google Analytics 4 (GA4) ได้กลายเป็นมาตรฐานอุตสาหกรรมสำหรับการวิเคราะห์อีคอมเมิร์ซ โดยนำเสนอการติดตามแบบอิงเหตุการณ์แทนแบบจำลองแบบอิงเซสชันแบบเดิม การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยให้ธุรกิจต่างๆ สามารถติดตามการโต้ตอบของผู้ใช้ได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้นและได้รับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับเส้นทางของลูกค้า
การตั้งค่า GA4 อย่างถูกต้องช่วยให้มั่นใจได้ว่าการกระทำที่มีค่า เช่น การซื้อ การเพิ่มสินค้าลงในตะกร้า และการสมัครใช้งาน จะถูกติดตามอย่างมีประสิทธิภาพ หากต้องการเริ่มต้นใช้งาน GA4:
- สร้างบัญชี Google Analytics และเชื่อมโยงกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของคุณเพื่อการรวบรวมข้อมูลอย่างราบรื่น
- เปิดใช้งานการติดตามอีคอมเมิร์ซขั้นสูงเพื่อบันทึกข้อมูลเชิงลึกอันมีค่าเกี่ยวกับพฤติกรรมการช็อปปิ้ง การดูผลิตภัณฑ์ และขั้นตอนการชำระเงิน
- กำหนด Conversion ที่สำคัญ เช่น การซื้อ การเพิ่มสินค้าลงในตะกร้า และการสมัครใช้งาน เพื่อติดตามการโต้ตอบของลูกค้าที่มีความหมาย
- ใช้การติดตามแบบอิงเหตุการณ์เพื่อวัดว่าผู้ใช้มีส่วนร่วมกับผลิตภัณฑ์ แบบฟอร์ม และขั้นตอนการชำระเงินอย่างไร
ด้วยการเปลี่ยนไปใช้ GA4 กว่า 70% ของธุรกิจ ได้เปลี่ยนไปใช้ระบบใหม่นี้แล้วเพื่อการติดตามและการรายงานที่ดีขึ้น
การใช้ Facebook Pixel และเครื่องมือติดตามอื่นๆ
หนึ่งในเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดสำหรับการติดตาม Conversion โซเชียลมีเดียคือ Meta (Facebook) Pixel เครื่องมือนี้ช่วยให้ธุรกิจต่างๆ สามารถวัดประสิทธิภาพของโฆษณา ติดตามการกระทำของผู้ใช้บนเว็บไซต์หลังจากคลิกโฆษณา และสร้างแคมเปญการตลาดซ้ำที่กำหนดเป้าหมายอย่างสูง
ในทำนองเดียวกัน Google Ads Conversion Tracking ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแคมเปญแบบจ่ายต่อคลิก (PPC) ช่วยให้ธุรกิจต่างๆ เพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายโฆษณาและเพิ่ม ROI ให้สูงสุด เครื่องมือติดตามอื่นๆ ที่มีประโยชน์ ได้แก่:
การศึกษาโดย HubSpot พบว่าแบรนด์ที่ใช้เครื่องมือติดตามหลายรายการเพิ่มประสิทธิภาพโฆษณาขึ้น 25% ซึ่งแสดงให้เห็นถึงคุณค่าของวิธีการที่หลากหลาย
พารามิเตอร์ UTM สำหรับการระบุแหล่งที่มาของทราฟฟิก
เมื่อธุรกิจต่างๆ ตั้งค่าเครื่องมือวิเคราะห์แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการทำความเข้าใจว่าทราฟฟิกมาจากไหนและความพยายามทางการตลาดใดที่กระตุ้น Conversion มากที่สุด วิธีนี้ช่วยให้ธุรกิจต่างๆ แยกความแตกต่างระหว่างแหล่งที่มาของทราฟฟิกและกำหนดช่องทางที่สร้าง ROI สูงสุด เพื่อให้แน่ใจว่าการติดตาม UTM ถูกต้อง ธุรกิจต่างๆ ควรปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดเหล่านี้:
- ใช้หลักการตั้งชื่อที่สอดคล้องกันในทุกแคมเปญเพื่อรักษาข้อมูลที่สะอาดและเป็นระเบียบ
- หลีกเลี่ยงการติดตามคลิกภายในเพื่อป้องกันไม่ให้วิเคราะห์ข้อมูลที่ไม่จำเป็นมากเกินไป
- ย่อ URL โดยใช้เครื่องมือเช่น Bitly เพื่อการใช้งานและการอ่านที่ดีขึ้น
ตัวอย่างเช่น กรณีศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้พบว่าแบรนด์ที่ใช้ การติดตาม UTM ค้นพบว่าแคมเปญอีเมลกระตุ้น Conversion ได้มากกว่าโฆษณาบนโซเชียลมีเดียถึง 40% ข้อมูลเชิงลึกนี้ช่วยให้พวกเขาเปลี่ยนงบประมาณไปยังช่องทางที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ปรับปรุงประสิทธิภาพทางการตลาดโดยรวม
การเพิ่มประสิทธิภาพ Conversion ด้วยข้อมูลเชิงลึกจากการวิเคราะห์

การใช้การวิเคราะห์เพื่อปรับแต่งกลยุทธ์ Conversion ช่วยให้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซลดแรงเสียดทานในกระบวนการซื้อ ปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้ และเพิ่มรายได้
การระบุและลดจุดที่ผู้ใช้ยกเลิก
หนึ่งในความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดในการเพิ่มประสิทธิภาพ Conversion คือการระบุตำแหน่งที่ลูกค้าเป้าหมายละทิ้งกระบวนการซื้อ รายงานช่องทางในแพลตฟอร์มการวิเคราะห์ช่วยให้ธุรกิจต่างๆ ระบุจุดที่ผู้ใช้ยกเลิกและเข้าใจว่าเหตุใดผู้ใช้จึงออกจากเว็บไซต์ก่อนทำการซื้อ
จุดที่ผู้ใช้ยกเลิกบ่อยและวิธีแก้ไข:
- การละทิ้งหน้าชำระเงิน: การศึกษาของสถาบัน Baymard พบว่า 17% ของผู้ใช้ละทิ้งตะกร้าเนื่องจากกระบวนการชำระเงินที่ซับซ้อน ทำให้การชำระเงินง่ายขึ้นโดยเสนอตัวเลือกการชำระเงินแบบผู้เยี่ยมชม ลดช่องแบบฟอร์ม และเปิดใช้งานวิธีการชำระเงินแบบคลิกเดียว
- ปัญหาการตอบสนองบนมือถือ: ประสบการณ์มือถือที่ปรับให้เหมาะสมไม่ดีส่งผลให้อัตรา Conversion ต่ำกว่า 50% เมื่อเทียบกับเว็บไซต์บนมือถือที่ปรับให้เหมาะสมอย่างดี (Google)
- เวลาโหลดเว็บไซต์ช้า: Google รายงานว่าเวลาโหลดที่เกิน 3 วินาทีสามารถส่งผลกระทบอย่างมากต่ออัตราตีกลับและ Conversion เพื่อเพิ่มความเร็วของเว็บไซต์ ให้เพิ่มประสิทธิภาพรูปภาพ เปิดใช้งานการแคชของเบราว์เซอร์ และใช้เครือข่ายการนำเสนอเนื้อหา (CDN)
- ขาดสัญญาณความน่าเชื่อถือ: ผู้ซื้อลังเลที่จะทำธุรกรรมบนเว็บไซต์ที่ไม่คุ้นเคยหรือไม่ได้รับการยืนยัน แสดงความคิดเห็นของลูกค้า ตราสัญลักษณ์ความน่าเชื่อถือ และใบรับรองความปลอดภัยเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและสร้างความมั่นใจให้กับผู้ซื้อที่มีศักยภาพ
การทดสอบ A/B และการตัดสินใจโดยใช้ข้อมูล
การทดสอบ A/B หรือการทดสอบแบบแยกส่วน เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเพิ่มประสิทธิภาพองค์ประกอบเว็บไซต์ที่มีอิทธิพลต่อ Conversion ด้วยการทดสอบรูปแบบต่างๆ ของหน้าผลิตภัณฑ์ ขั้นตอนการชำระเงิน และการกระตุ้นการตัดสินใจ (CTA) ธุรกิจต่างๆ สามารถกำหนดสิ่งที่เหมาะสมที่สุดกับผู้ชมได้ องค์ประกอบสำคัญในการทดสอบ A/B:
- สีของปุ่มและข้อความ CTA: การทดสอบสีและข้อความที่แตกต่างกันสามารถส่งผลกระทบต่ออัตราการคลิกผ่าน
- รูปแบบการแสดงราคา: การเปรียบเทียบ “ประหยัด $10” กับ “ส่วนลด 10%” ช่วยระบุรูปแบบการกำหนดราคาที่ดึงดูดลูกค้าได้มากกว่า
- การจัดส่งฟรีเทียบกับส่วนลด: ลูกค้าบางรายชอบการจัดส่งฟรีมากกว่าส่วนลดตามเปอร์เซ็นต์
แบรนด์แฟชั่นออนไลน์ได้ทำการทดสอบ A/B บนหน้าชำระเงิน ทำให้รูปแบบฟอร์มง่ายขึ้นและลดจำนวนขั้นตอน ผลลัพธ์คือ Conversion เพิ่มขึ้น 12% ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยสามารถส่งผลกระทบอย่างมากต่อยอดขาย
ข้อผิดพลาดทั่วไปในการติดตาม Conversion และวิธีหลีกเลี่ยง
การทำความเข้าใจข้อผิดพลาดเหล่านี้และการใช้มาตรการแก้ไขช่วยให้มั่นใจได้ถึงข้อมูลเชิงลึกที่ถูกต้องและอัตรา Conversion ที่ดีขึ้น
การวิเคราะห์ที่กำหนดค่าผิดพลาดและข้อผิดพลาดในการติดตาม
หนึ่งในข้อผิดพลาดในการติดตาม Conversion ที่พบบ่อยที่สุดคือการวิเคราะห์ที่กำหนดค่าผิดพลาด ซึ่งนำไปสู่ข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์หรือทำให้เข้าใจผิด ข้อผิดพลาดในการติดตาม เช่น การตั้งค่าเป้าหมายที่ไม่ถูกต้อง การติดตามเหตุการณ์ซ้ำ หรือการระบุแหล่งที่มาที่สำคัญที่ขาดหายไป สามารถบิดเบือนการรายงานและขัดขวางการตัดสินใจ
- การตั้งค่าการติดตามเป้าหมายไม่ถูกต้อง: หากเป้าหมายไม่ได้รับการกำหนดค่าอย่างถูกต้องใน Google Analytics 4 (GA4) ธุรกิจต่างๆ อาจพลาดข้อมูล Conversion ที่มีค่า
- การติดตามเหตุการณ์ซ้ำ: การติดตามเหตุการณ์เดียวกันหลายครั้งทำให้จำนวน Conversion สูงเกินจริงและบิดเบือนตัวชี้วัดประสิทธิภาพ
- การระบุแหล่งที่มาที่ขาดหายไปจากทราฟฟิกโซเชียลมีเดีย: หากไม่มีการระบุแหล่งที่มาที่เหมาะสม Conversion จากแพลตฟอร์มเช่น Facebook, Instagram หรือ TikTok อาจไม่ได้รับการบันทึกอย่างถูกต้อง
การเพิกเฉยต่อ Conversion บนมือถือเทียบกับเดสก์ท็อป
อีคอมเมิร์ซขับเคลื่อนด้วยมือถือมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ธุรกิจหลายแห่งยังไม่สามารถปรับประสบการณ์ให้เหมาะสมสำหรับมือถือได้ Statista รายงานว่า 73% ของยอดขายอีคอมเมิร์ซมาจากอุปกรณ์มือถือ ทำให้การติดตาม Conversion บนมือถือมีความสำคัญมากขึ้นกว่าเดิม
ธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับการออกแบบสำหรับมือถือเป็นอันดับแรกและหน้าเว็บที่โหลดเร็วจะมีอัตรา Conversion ที่สูงขึ้น ประสบการณ์มือถือที่ไม่ดี เช่น เวลาโหลดช้า การนำทางที่ยาก หรือแบบฟอร์มชำระเงินที่ไม่ตอบสนอง ทำให้ผู้ใช้เลิกใช้งาน
การวิจัยของ Google แสดงให้เห็นว่าผู้ใช้มือถือมี Conversion น้อยกว่า 50% บนเว็บไซต์ที่ปรับให้เหมาะสมไม่ดี
การมองข้ามกลยุทธ์การกำหนดเป้าหมายซ้ำ
การละทิ้งตะกร้าเป็นความท้าทายที่สำคัญในอีคอมเมิร์ซ การศึกษาแสดงให้เห็นว่า 80% ของผู้ซื้อละทิ้งตะกร้า แต่ธุรกิจที่ใช้โฆษณากำหนดเป้าหมายซ้ำประสบความสำเร็จในการกู้คืนยอดขายที่หายไปได้มากถึง 26%
การเพิกเฉยต่อการกำหนดเป้าหมายซ้ำหมายถึงการสูญเสียยอดขายที่อาจเกิดขึ้นจากผู้ใช้ที่สนใจผลิตภัณฑ์อยู่แล้ว การใช้กลยุทธ์เหล่านี้สามารถเพิ่มอัตรา Conversion และผลักดันการเติบโตของรายได้อย่างมาก
เทรนด์ในอนาคตในการวิเคราะห์ Conversion อีคอมเมิร์ซ

ด้วยการเลิกใช้คุกกี้ของบุคคลที่สาม ธุรกิจต่างๆ จำเป็นต้องทบทวนวิธีที่พวกเขาติดตามและวัด Conversion Google และแพลตฟอร์มหลักอื่นๆ กำลังเลิกใช้คุกกี้ของบุคคลที่สาม ทำให้การรวบรวมข้อมูลของบุคคลที่หนึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับข้อมูลเชิงลึกของลูกค้าที่ยั่งยืน
การสนับสนุนให้ลูกค้าเลือกเข้ารับโปรโมชันส่วนบุคคลและข้อเสนอการเข้าถึงก่อนใครจะสร้างฐานข้อมูลของผู้ซื้อที่มีความตั้งใจสูง ซึ่งแตกต่างจากการติดตามแบบใช้เบราว์เซอร์แบบเดิม การติดตามฝั่งเซิร์ฟเวอร์ช่วยให้มั่นใจได้ถึงการรวบรวมข้อมูลที่แม่นยำยิ่งขึ้นและได้รับผลกระทบน้อยลงจากข้อจำกัดด้านความเป็นส่วนตัว
การค้นหาด้วยเสียงและการค้าแบบสนทนา
การค้าด้วยเสียงกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดย eMarketer คาดการณ์ว่าจะสูงถึง $40 พันล้านภายในปี 2025 ผู้บริโภคจำนวนมากขึ้นกำลังใช้ผู้ช่วยเสียงเช่น Amazon Alexa, Google Assistant และ Apple Siri เพื่อค้นหาและซื้อผลิตภัณฑ์ การปรับให้เหมาะสมสำหรับการค้นหาด้วยเสียงไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับแบรนด์อีคอมเมิร์ซที่ต้องการรักษาความเกี่ยวข้อง
ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังเปลี่ยนแปลงวิธีที่ธุรกิจต่างๆ วิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้าและปรับแต่งประสบการณ์ส่วนบุคคล ข้อมูลเชิงลึกที่ขับเคลื่อนด้วย AI ช่วยให้ผู้ค้าปลีกคาดการณ์ว่าผลิตภัณฑ์ใดที่ลูกค้ามีแนวโน้มที่จะซื้อต่อไป ช่วยให้การตลาดเป็นแบบส่วนบุคคลอย่างมาก
กลไกการแนะนำที่ขับเคลื่อนด้วย AI ของ Amazon มีส่วนทำให้รายได้รวม 35% ด้วยการวิเคราะห์การซื้อในอดีต ประวัติการเข้าชม และความต้องการของลูกค้า แบรนด์อีคอมเมิร์ซขนาดเล็กที่ใช้โซลูชัน AI ที่คล้ายคลึงกันได้เห็นการปรับปรุงที่สำคัญในอัตรา Conversion และการรักษาลูกค้า
ความคิดสุดท้าย
อนาคตของการวิเคราะห์ Conversion อีคอมเมิร์ซกำลังเปลี่ยนไปสู่การรวบรวมข้อมูลที่คำนึงถึงความเป็นส่วนตัวเป็นอันดับแรก การปรับแต่งส่วนบุคคลที่ขับเคลื่อนด้วย AI และการค้าที่เปิดใช้งานด้วยเสียง ธุรกิจที่ลงทุนในกลยุทธ์ข้อมูลของบุคคลที่หนึ่ง ปรับให้เหมาะสมสำหรับการค้นหาด้วยเสียง และใช้ประโยชน์จากการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ จะอยู่ในตำแหน่งที่ดีในการเพิ่ม Conversion และสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าที่แข็งแกร่งขึ้นในภูมิทัศน์ดิจิทัลที่กำลังพัฒนา การติดตามและการวิเคราะห์ Conversion เป็นสิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซใดๆ ที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพ ปรับแต่งกลยุทธ์ทางการตลาด และเพิ่มรายได้
Free Google Analytics Audits
We partner with Optimo Analytics to get free and automated Google Analytics audits to find issues or areas of improvement in you GA property.